24 มกราคม 2552

" เวลา " และคงไม่มีใครไม่เคยลิ้มรสของคำว่า " เสียดายเวลา "


" เวลา " และคงไม่มีใครไม่เคยลิ้มรสของคำว่า " เสียดายเวลา "
เคยถามตัวเองบ้างหรือไม่ว่าทำไมคำว่า “เสียดายเวลา” จึงเกิดขึ้นกับชีวิตเราและคำๆนี้ไม่ได้เกิดเพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิตคนเรามันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก จนเรารู้สึกเคยชินกับมันไปแล้ว
ถึงแม้จะมีนักคิดนักเขียนจะออกมาพูดตลอดเวลาว่าเวลาเป็นสิ่งมีค่า ซื้อหาไม่ได้ ขายไม่ได้ หยิบยืมไม่ได้ ขอใช้ล่วงหน้าไม่ได้ กักตุนไม่ได้ สะสมไม่ได้ แบ่งปันไม่ได้ และที่สำคัญไม่มีใครเป็นเจ้าของเวลาที่แท้จริง เพราะเวลาเป็นกฎธรรมชาติอิสระที่ทุกคนได้มาเท่าเทียมกัน ทุกคนมีเวลาบนพื้นฐานเดียวกันคือวันละ 24 ชั่วโมง ชั่วโมงละ 60 นาที ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนของโลกเชื้อชาติอะไร สัญชาติใด คุณก็มีเวลาเท่าเทียมกันแต่ความสำคัญอยู่ที่ใครจะใช้เวลาได้คุ้มค่ากว่าใครเท่านั้น

เราคงเห็นเพื่อนๆหลายคนที่เกิดมาพร้อมๆกัน สิ่งแวดล้อมไม่แตกต่างกัน เรียนหนังสือมาพร้อมๆกัน เข้าทำงานพร้อมๆกัน แต่นับวันความแตกต่างในชีวิตเริ่มมีให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดห่างไกลกันคนละชั้นหรือเรียกได้ว่าคนละระดับกันเลยก็มี ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งคือ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเวลาในชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกันนั่นเอง
คนส่วนมากใช้เวลาอ่านหนังสือเพื่อให้ได้ความรู้เพิ่มขึ้น คนหลายคนใช้เวลาอ่านหนังสือเพื่อพัฒนาความรู้ คนบางคนอ่านหนังสือเพื่อต่อยอดของความรู้ และคนบางคนอ่านหนังสือเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ ดังนั้นเราไม่สามารถบอกได้ว่าคนอ่านหนังสือเรื่องเดียวกันในเวลาเดียวกัน จะได้ผลตอบแทนที่เหมือนๆกัน สิ่งสำคัญอยู่ที่คนๆนั้นได้ใช้โอกาศแห่งเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด

ถ้าเราอยากรู้ว่าเราทำเวลาตกหล่นในชีวิตมากน้อยเพียงใด ขอให้เราลองนำจำนวนความสำเร็จที่ได้มาในปัจจุบันหารด้วยเวลาในชีวิตที่ผ่านมาเพื่อดูว่าความสำเร็จนั้นๆใช้เวลาเฉลี่ยเท่าไหร่ คนบางคนใช้เวลาทั้งชีวิตกว่าจะได้บ้านมาสักหลัง แต่คนบางคนใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็สำเร็จแล้ว บางคนอาจคัดค้านและไม่เห็นด้วยเพราะแต่ละคนมีฐานะแตกต่างกัน ถึงแม้บางคนจะเกิดมาบนกองมรดกกองเงินกองทองในขณะที่บางคนเกิดมาบนกองขยะแห่งความยากจนก็ตาม แต่บทสรุปของชีวิตก็คือคนเรามีหนึ่งสมองสองมือเหมือนกัน เราจะเห็นได้ว่าในสังคมนี้มีคนเคยรวยเยอะแยะที่กลายมาเป็นคนจนแทบจะไม่มีกิน เราเคยเห็นคนเคยจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอดมาเป็นคนรวยเป็นมหาเศรษฐีติดอันดับ สิ่งเหล่านี้แหละที่ผมต้องการชี้ให้เห็นว่าความแตกต่างภายนอกของคนไม่ได้เป็นสิ่งที่จีรังยั่งยืนเท่ากับสิ่งที่อยู่ภายในของเราเอง ดังนั้นเราอย่าไปหาเหตุมาอธิบายตัวเองให้ดูดีเลยว่าที่เราเป็นอย่างนี้เพราะเราไม่มีโน่นไม่มีนี่เหมือนคนอื่นเขา เราต้องหันมาทบทวนและมองตัวเองว่าเราได้ใช้เวลาที่ผ่านมาคุ้มค่าและเพิ่มค่าให้กับชีวิตมากน้อยเพียงใด

คนส่วนมากมักจะปล่อยให้เวลาแห่งชีวิตผ่านไปตามยถากรรมเหมือนลูกมะพร้าวแห้งลอยน้ำที่ล่องลอยไปตามกระแสคลื่นไม่สามารถกำหนดเป้าหมายแห่งชีวิตให้กับตัวเองได้ หรือไม่ก็มีเพียงกำหนดเป้าหมายของชีวิตเหมือนคนทั่วๆไป เช่น ทำงานเป็นลูกจ้างไปเรื่อยๆ วันหนึ่งก็จะเติบโตเป็นผู้บริหาร และสุดท้ายก็เก็บเงินออมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อนำไปใช้ในวัยเกษียณ และนั่งดูลูกดูหลานรุ่นต่อๆไปเจริญเติบโตตามรอยของตัวเอง

คนที่สามารถบริหารเวลาแห่งชีวิตให้มีมูลค่าเพิ่มได้นั้น สิ่งแรกที่ต้องทำคือ กำหนดเป้าหมายแห่งชีวิตให้ชัดเจนก่อนว่าเมื่อไหร่ ต้องมีอะไร ได้อะไร อยู่ที่ใหน เพราะชีวิตเปรียบเสมือนการแข่งเรือใบ ไม่ใช่มะพร้าวแห้งลอยน้ำ เราจะต้องมีการกำหนดว่าจะแล่นเรือใบไปที่ไหน ระยะทางเท่าไหร่ และเรามีเวลาอยู่เท่าไหร่ เมื่อเราทราบเป้าหมายและเวลาที่มีอยู่แล้ว จะทำให้เรามีการวางแผนการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่นต้องใช้เวลาในการออกสตาร์ทเท่าไหร่ ต้องใช้เวลาในการปรับใบเพื่อเปลี่ยนทิศทางภายในกี่วินาที ถ้าเจอมรสุมหรือคลื่นแรงๆเราจะต้องจัดการอย่างไร สิ่งเหล่านี้ล้วนมีคำตอบในตัวมันเองว่าถ้าเป้าหมายเป็นแบบนี้ มีเวลาเท่านี้แล้วเราจะบริหารเวลาที่มีอยู่ได้อย่างไร

ในชีวิตของเราทุกคนก็เหมือนกัน ถ้าเรามีเป้าหมายชัดเจนมันจะบอกเราเองว่าอีก 5 ปีข้างหน้าเราจะต้องทำอะไรบ้าง อีก 1 ปีข้างหน้าเราจะต้องมีอะไรบ้าง เดือนหน้าเราจะต้องทำอะไรบ้าง และมันจะบอกเราแม้กระทั่งว่าวันนี้เวลานี้เราจะต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งจะทำให้การใช้เวลาของเราทุกวินาทีตอบโจทย์ได้ว่าเราใช้เวลาในแต่ละช่วงไปเพื่ออะไรและใช้อย่างไร
การที่หลายคนชอบยกตัวอย่างให้เราคิดตามว่า ถ้าเรามีเวลาเหลือเพียง 7 วันในชีวิตนี้ มีอะไรบ้างที่เรายังไม่ได้ทำและอยากจะทำก่อนที่จะไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เป็นตัวอย่างที่ดีที่สามารถจำลองการใช้เวลาในชีวิตของเราให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น สิ่งนี้คงจะคล้ายๆกับสำนวนไทยที่ว่า “ ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ” นั่นเอง

จึงอยากให้ทุกคนลองคิดดูว่าเวลาทำงานของเราจริงๆ นั้นมีเพียงไม่กี่พันวัน ลองคิดกันเล่นๆนะครับว่าสัปดาห์หนึ่งเราทำงาน 5 วัน เดือนหนึ่งทำงาน 22 วัน ปีหนึ่ง 264 วัน ถ้าเราอายุ 30 เรามีเวลาเหลือเพียงอีก 30 ปีก่อนเกษียณอายุ เราจะมีเวลาทำงานจริงๆเพียง 7,920 วันเท่านั้นเอง ซึ่งไม่มากมายอะไร ขอให้ลองมาคำนวณดูว่าในจำนวนวันทำงานที่เหลืออยู่นี้ เราต้องการทำอะไรบ้าง แต่ละอย่างต้องใช้เวลาเท่าไหร่ พอหรือไม่ ถ้าไม่พอเราจะคิดหาหนทางบริหารเวลาที่เหลือนี้อย่างไร ผมเชื่อว่าถ้าทุกคนนำเป้าหมายและเวลาที่เหลืออยู่มาวางแผนการใช้ล่วงหน้าแล้ว เราสามารถใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่าและเพิ่มมูลค่าให้กับชีวิตได้

ดังนั้น การบริหารเวลาสำคัญอยู่ที่เราได้มีการกำหนดเป้าหมายชีวิตไว้ชัดเจนหรือยัง ในแต่ละช่วงเวลาเราได้จัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมในชีวิตได้ดีเพียงใด คนบางคนบอกว่าอยากออกกำลังกายแต่ไม่มีเวลา จริงๆแล้วทุกคนมีเวลาเพียงพอสำหรับการออกกำลังกายหรืออาจจะมีเหลือเฟือด้วยซ้ำไป แต่ที่เราไม่สามารถออกกำลังกายได้เพราะเราได้จัดลำดับของการออกกำลังกายไว้อันดับท้ายๆนั่นเอง

เรามัวแต่ไปให้ความสำคัญกับการทำงาน สังคม หรือกิจกรรมในชีวิตด้านอื่นๆจนไม่มีเวลาเหลือให้กับการออกกำลังกาย คุณเชื่อหรือไม่ว่าถ้าวันหนึ่งคุณเป็นโรคบางอย่างที่สร้างปัญหาให้กับชีวิตของคุณอย่างยิ่งยวด และคุณหมอแนะนำว่ามีวิธีเดียวที่จะสามารถรักษาโรคนี้ได้คือการออกกำลังกาย เชื่อเหลือเกินว่าการออกกำลังกายของคุณจะแซงทางโค้งขึ้นมาเป็นความสำคัญอันดับหนึ่งในชีวิตของคุณอย่าแน่นอน

วิธีการการตรวจสอบธนบัตรปลอม การตรวจสอบแบงก์ปลอม เพื่อจะได้นำมาป้องกันตัวเองไว้ครับ
ฝากไว้นิดจ้า
http://www.champ108.com/products/และผลงาน คศ.3รวมถึงสิ่งดีๆจากข่าวอาจารย์3ข่าวชำนาญการพิเศษของดีที่เราเต็มใจนำเสนอจ้า :: We love Computer Center.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ร่วมแสดงความคิดเห็น :: โปรดใช้ถ้อยคำที่แสดงถึงความเป็นปัญญาชน ครับ